ทำไม? คุณถึงควรจะทำ Cultural Transformation ในปี 2022

ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องทำการเปลี่ยนแปลง Corporate Culture ในปี 2022 นี้ ทำไมคุณถึงต้องเปลี่ยนมัน หาคำตอบได้จากบทความนี้
ทำไม? คุณถึงควรจะทำ Cultural Transformation ในปี 2022
Photo by Markus Spiske / Unsplash

คำว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นธรรมดาของโลก ที่อะไรก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในเสี้ยววินาที ยิ่งในยุคที่ข้อมูลข่าวสารว่องไว และผู้คนสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ยิ่งช่วยเร่งการพัฒนาของเทคโนโลยี วิถีความคิดต่างๆ ให้รวดเร็วมากขึ้นไปอีก

แต่ก็ยังมีหลายที่ๆกลัวการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่ เหมือนจับต้องไม่ได้ แต่วนเวียนอยู่ในทุกลมหายใจ นั่นคือ วัฒนธรรมองค์กร หรือ Corporate Culture ที่ถ้าเปลี่ยนแปลงทีมักจะเป็นเรื่องใหญ่ ใช้เวลา และค่อนข้างยาก อีกทั้งผู้บริหารโดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่าเป็นผู้บริหารอาวุโส และพนักงานที่อายุงานนาน มักจะไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่วันนี้ เราจะขอนำเสนอว่า ทำไม ปี 2022 จึงเป็นปีที่คุณควรจะทำเริ่มการทำ Cultural Transformation หรือ การยกเครื่องวัฒนธรรมองค์กร ของคุณเสียที

การทำงานแบบยืดหยุ่น จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่อย่างถาวร

ในช่วงปีที่ผ่านมาถึง 2 ปี ก็ได้มีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้การทำงานนั้นแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงาน white collar ที่ทำงานออฟฟิสแบบนั่งโต๊ะ จากที่ต้องเดินทางไปออฟฟิสทุกวัน ก็กลายเป็นมาทำงานกับบ้านเต็มเวลา (Work From Home) หลังจากที่เริ่มมีวัคซีน ก็ได้มีการเดินทางกลับออฟฟิส แต่แล้วก็มีสายพันธุ์ใหม่เข้ามา ทำให้ต้องกลับมาทำงานกับบ้านอีกครั้ง แต่ก็ยังมีการคงพนักงานบางส่วนไว้ที่ออฟฟิสด้วย นำมาสู่การทำงานแบบลูกผสม หรือ Hybrid Workplace รวมไปถึง การทำงานแบบ Flexi หรือยืดหยุ่นด้านเวลา ที่มันตั้งแต่การขอจัดตารางเข้างานตามความเหมาะสม ไปตลอดจนถึงการไม่ต้องปั๊มเวลาเข้างานเลยทีเดียว

ด้วยปัจจัยดังกล่าว แน่นอนวัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิมจะไม่สามารถรับมือได้ และในปีที่ผ่านมาคุณก็คงจะได้เห็นแล้วถึงความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิม กับ วิถีชีวิตแบบใหม่ น่าจะเกิดความตระหนักใจได้อย่างไม่ยากว่า เวลาเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว

การชื่นชมยอมรับพนักงาน (Employee Recognition) จะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

ช่วงที่ผ่านมาทุกคนคงจะได้เห็นแล้วว่า ทั้งพนักงานและเจ้าของกิจการ ต่างก็ต้องช่วยกันทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะนำพาบริษัทอยู่ให้รอดไปด้วยกัน หลายที่ก็ต้องเจอทั้งการที่พนักงานต้องรับเงื่อนไขการลดเงินเดือน การต้องทำงานหนักกว่าเดิม ดังนั้น สิ่งที่จะมาเติมเต็มก็คือ คำชื่นชมที่มีให้กัน ไม่ใช่การเรียกมาด่าแบบไม่แคร์พนักงานและเข้าใจไปว่าจะช่วยให้พนักงานนั้น ฮึด พัฒนาตัวเอง

เพราะในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าการทำงานนั้นไม่ได้นำพามาซึ่งคำชื่นชมอะไรเลย พนักงานก็จะเกิดความรู้สึกว่า พยายามแทบตายเสียงชมสักคำก็ไม่มี ร่วมกับการที่ทำงานจากบ้าน ทำให้สามารถสมัครงาน สัมภาษณ์ทางไกลผ่านแอพต่างๆได้ง่ายกว่าสมัยก่อน รวมกับความสามารถที่พัฒนาจากการทำงานในช่วงที่ยากลำบาก ก็ไม่พ้นที่พนักงานจะพร้อมไปจากบริษัทเดิมอย่างแน่นอน ถ้าทั้งสวัสดิการ รางวัล เงิน หรือเสียงชมก็ยังไม่มี

เพื่อแก้สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ คุณในฐานะผู้นำก็ควรที่จะเริ่มในการสร้างวัฒนธรรมแห่งการชื่นชมซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้นในองค์กร ตั้งเป้าให้ในปีนี้มีการสร้างพลังบวกในองค์กรจากการชื่นชมซึ่งกันและกันให้มากที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

การพัฒนาบุคคลกร จะกลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้

แน่นอนว่า ในยุคที่ทั้งสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการก่อกำเนิดของเทคโนโลยี่ใหม่ๆมากมาย และองค์ความรู้ใหม่ๆที่มีให้เรียนรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา พนักงานที่ทำงานแบบเดิมๆย่อมจะตามไม่ทันโลก เมื่อพนักงานตามโลกไม่ทัน บริษัทก็ย่อมสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน จนถูกทิ้งไว้ข้างหลังในท้ายที่สุด

ดังนั้น บริษัทและองค์กรต่างๆ จำเป็นที่จะต้องใส่ใจทั้งในการลงทุนด้านการพัฒนาบุคคลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอร์ส กิจกรรม การอบรม แต่การเรียนรู้นั้นจะไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตขึ้นมาในองค์กร ให้พนักงานนั้นมีความกระหายในการเรียนรู้โดยธรรมชาติ ตามสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นมาจากการมีรากฐานเชิงวัฒนธรรมอันเข้มแข็ง

เทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเชิงวัฒนธรรมองค์กร มากกว่าที่เคยเป็น

จากการที่พนักงานต้องทำงานไกลจากออฟฟิส รวมไปถึงการพัฒนาเชิงเทคโนโลยีต่างๆที่มีมากมายแม้เศรษฐกิจทั้งโลกจะทรุดตัว ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างหวาดกลัว ยากลำบาก แต่กระนั้นเองก็ไม่ทำให้การพัฒนาชะลอตัว แต่ได้พัฒนาจนเข้ามาอยู่ในทุกภาคส่วนของชีวิตอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตใหม่ที่ผู้คนต้องอยู่ห่างกัน และนั่นทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่อย่างมาก นำไปสู่การบีบให้บริษัท องค์กรต่างๆที่ยังเฉื่อยชา ต้องหามาทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองเข้าสู่โลกแห่งดิจิตัล หรือที่เรียกว่าการทำ Digital Transformation

แต่การทำ Digital Transformation นั้นไม่ได้สามารถเกิดขึ้นได้จากการแค่ซื้อคอมพิวเตอร์ตัวแพงๆ โปรแกรมล้ำๆเข้ามา เพราะ ถ้าทั้งเจ้าของ ผู้บริหาร พนักงาน แม้แต่ฝ่ายจัดชื้อ ไม่มี mindset เกี่ยวกับด้านการใช้ชีวิตเชิง digital อย่างเหมาะสม ก็ย่อมจะเกิดปัญหาอย่างมากมาย และไม่อาจได้มีบริษัทที่ดำเนินงานในเชิงดิจิตัลอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ โดยทางเราขอให้คุณศึกษาจากบทความของเราว่า ตอนนี้คุณมี mindset ที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นี้หรือยัง จากบทความนี้

จากที่กล่าวมา คุณคงจะเห็นแล้วว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณจะทำการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ถ้าไม่ทำวันนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสให้ดำเนินการอีกแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น เราอยากให้คุณสำรวจวัดผลเชิงวัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่า ตอนนี้อ่อนแอหรือแข็งแรงเพียงใด โดยคุณสามารถศึกษาวิธีวัดผลได้จากหนังสือของเรา

เพียงกรอกข้อมูลและดาวน์โหลดหนังสือการวัดผลเชิงวัฒนธรรมองค์กร ฟรี!

Subscribe to Smiles at Work | The Official Happily.ai Blog newsletter and stay updated.

Don't miss anything. Get all the latest posts delivered straight to your inbox. It's free!
Great! Check your inbox and click the link to confirm your subscription.
Error! Please enter a valid email address!