เข้าใจความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจด้วย OKR กับ KPI

พบความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI และการใช้งานร่วมกันของทั้งสองเฟรมเวิร์กนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายและติดตามประสิทธิภาพการทำงานที่เหมาะสมที่สุด ทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องง่าย
เข้าใจความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจด้วย OKR กับ KPI
Photo by Markus Winkler / Unsplash

การตั้งเป้าหมายและการวัดผลการทำงานมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเพิ่มความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน สองเฟรมเวิร์กยอดนิยมสำหรับการกำหนดเป้าหมาย ติดตามความคืบหน้าในการทำงาน และวัดความสำเร็จของงาน คือ OKR (Objective and Key Result - วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก) และ KPI (Key Performance Indicator - ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก) การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างเฟรมเวิร์กทั้งสองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับกระบวนการกำหนดเป้าหมายและการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานให้เหมาะสม

OKR คืออะไร?

OKR คือเฟรมเวิร์กที่มีชื่อเสียงสำหรับกำหนดเป้าหมายและการติดตามผลการทำงานที่ Google ใช้งานอยู่ โดย OKR ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  • วัตถุประสงค์ เป็นเป้าหมายโดยรวมที่องค์กรต้องการที่จะทำให้สำเร็จ
  • ผลลัพธ์หลัก เป็นผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง สามารถวัดผลได้ และมีระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์นี้จะแสดงถึงความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

โดยปกติแล้ว OKR จะกำหนดเป็นรายไตรมาสและได้รับการออกแบบให้มีเป้าหมายที่สูงและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานได้เกินกว่าความสามารถของตนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

KPI คืออะไร?

KPI เป็นเฟรมเวิร์กการวัดประสิทธิภาพการทำงานที่ติดตามความคืบหน้าของงานเทียบกับเมตริกเฉพาะที่สำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร โดยที่

  • KPI มักจะผูกกับเป้าหมายเฉพาะแผนกหรือเฉพาะทีมเพื่อเชื่อมโยงกับเป้าหมายโดยรวมขององค์กร
  • KPI จะคอยติดตามดูความคืบหน้าของงานเมื่อเวลาผ่านไป
  • KPI จะบอกถึงสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
  • KPI มักจะติดตามความคืบหน้าของงานเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน

ความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI

OKR

KPI

มุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง วัดประสิทธิภาพการทำงานเทียบกับเมตริกซ์หรือตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจง
ปกติจะทำการติดตามผลทุก ๆ ไตรมาส มักจะติดตามผลเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน
เป้าหมายค่อนข้างสูงและกระตุ้นแรงบันดาลใจ เป้าหมายสมเหตุสมผลและสามารถทำให้สำเร็จได้มากกว่า
สอดคล้องกับเป้าหมายในภาพรวมขององค์กร มักจะผูกเป้าหมายกับเฉพาะแผนกหรือเฉพาะทีม

การรวมเฟรมเวิร์ก OKR และ KPI เพื่อการบริหารจัดการประสิทธิภาพองค์กรที่ครอบคลุมทุกด้าน

แม้ว่า OKR และ KPI จะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายได้ โดยที่ OKR จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่องค์กรต้องการบรรลุ ในขณะที่ KPI นำเสนอมุมมองที่ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความคืบหน้าของงานตามเป้าหมายเหล่านั้น

ตัวอย่างการใช้งาน OKR และ KPI ร่วมกัน

  1. ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์
    OKR: เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในสิ้นไตรมาส
    KPI: ติดตามจำนวน Bugs หรือข้อผิดพลาดที่ตรวจจับได้และต้องแก้ไขต่อสัปดาห์
  2. ทีมบริการลูกค้า
    OKR: ปรับปรุงเวลาในการตอบคำถามของลูกค้าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนในไตรมาสถัดไป
    KPI: ติดตามเวลาโดยเฉลี่ยในการตอบกลับคำถามของลูกค้า
  3. ทีมการตลาด
    OKR: เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ 50% ในไตรมาสถัดไป
    KPI: ติดตามจำนวนโอกาสในการขายที่สร้างขึ้นต่อสัปดาห์
  4. ทีมขาย
    OKR: เพิ่มรายได้ 50% ในไตรมาสถัดไป
    KPI: ติดตามจำนวนการโทรออกหรือส่งอีเมลต่อสัปดาห์

การใช้ OKR และ KPI ร่วมกัน องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งยังคงมีความท้าทาย สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นพนักงานของตนเอง

บทสรุป

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการกำหนดเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า OKR และ KPI จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันและตอบสนองวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองเฟรมเวิร์กนี้ก็ช่วยเสริมซึ่งกันและกันและสามารถใช้ร่วมกัน เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพขององค์กร ด้วยการใช้ OKR และ KPI องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งยังคงท้าทาย สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นพนักงาน และทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนรับผิดชอบต่อความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายเหล่านั้นด้วย

Subscribe to Smiles at Work | The Official Happily.ai Blog newsletter and stay updated.

Don't miss anything. Get all the latest posts delivered straight to your inbox. It's free!
Great! Check your inbox and click the link to confirm your subscription.
Error! Please enter a valid email address!