ในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลาย ๆ องค์กรอาจกำลังสงสัยว่ารูปแบบการทำงานแบบไหนจะเป็นรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การให้พนักงานกลับไปทำงานในออฟฟิศแบบ Full-time ให้พนักงานทำงานแบบยืดหยุ่นหรือ Hybrid หรือจะเป็นการให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (WFH) ได้ต่อไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่ารูปแบบการทำงานแต่ละแบบมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่จากข้อมูลการศึกษาที่เราได้รวบรวมมา ชี้ให้เห็นตรงกันว่า การทำงานแบบ Hybrid นั้นเป็นรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพและให้ประสิทธิผลที่ดีที่สุดสำหรับทั้งองค์กรและพนักงาน
การทำงานแบบ Hybrid คืออะไร?
รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid คือ รูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งจากที่ออฟฟิศ จากที่บ้าน หรือ จากที่ไหนก็ได้ เพื่อให้อิสระกับพนักงานได้มีทางเลือกในการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยที่การให้พนักงานทำงานแบบ Hybrid นั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับที่แต่ละองค์กรกำหนดไว้ว่า รูปแบบการทำงานแบบยืดหยุ่นแบบไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กรของตัวเองมากที่สุด หากองค์กรสามารถนำรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid มาใช้ได้อย่างเหมาะสม สิ่งนี้จะส่งผลดีต่อทั้งองค์กร รวมไปถึง ผู้นำองค์กร ผู้จัดการ และพนักงาน
ประโยชน์ของการทำงานแบบ Hybrid ที่มีต่อพนักงาน
ข้อมูลจากการศึกษามากมายพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำงานแบบ WFH หรือ Hybrid เป็นรูปแบบการทำงานที่พนักงานส่วนใหญ่ต้องการในเวลานี้ ถึงแม้ว่าการระบาดใหญ่จะจบลงแล้วก็ตาม
การศึกษาข้อมูลของบริษัท Ergoton จากการสุ่มตัวอย่างพนักงาน Full-time กว่า 1,000 คน พบว่าเมื่อพนักงานคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบ Hybrid รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid จะช่วยให้พนักงานสามารถฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตได้ด้วยเช่นกัน โดยการศึกษาครั้งนี้พบว่า
- 88% ของพนักงานเห็นว่าความยืดหยุ่นในการทำงานเพิ่มความพึงพอใจในงานของพวกเขา
- 75% ของพนักงานระบุว่าพวกเขามีการเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยขึ้นและมีรูปแบบการทำงานที่กระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้นเมื่อทำงานแบบ WFH
- 75% ของพนักงานกล่าวว่ามี Work-life balance ที่ดีขึ้นหลังจากการทำงานแบบ Hybrid หรือ WFH
“ในช่วงสองปีที่ผ่านมา พนักงานได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานแบบ Hybrid และ WFH และตอนนี้พวกเขาก็ต้องการมันมากกว่า ในขณะที่นายจ้างต้องการดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถ การมุ่งเน้นไปที่แนวทางการปฏิบัติที่ส่งเสริม Well-being และช่วยให้พนักงานเติบโตไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอยู่ที่ใด” - CEO ของบริษัท Ergoton
อีกหนึ่งการศึกษาข้อมูลจากบริษัท Owllabs ในปี 2022 พบเห็นคล้ายกันว่า
- 71% ของพนักงานต้องการรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid หรือ WFH หลังการระบาดใหญ่จบลง
- 90% ของพนักงานบอกว่าพวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงานในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าระหว่างทำงานจากที่บ้านเมื่อเทียบกับการทำงานที่ออฟฟิศ
- 84% ของพนักงานกล่าวว่าการทำงานแบบ WFH หลังเกิดโรคระบาดจะทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น และพนักงานบางคนถึงกับยอมลดเงินเดือนเพื่อที่จะ WFH
ผลการศึกษา "พนักงานพร้อมสำหรับการทำงานแบบ Hybrid แล้วหรือยัง" ของซิสโก้ ยังแสดงให้เห็นว่า
- 82% ของพนักงานกล่าวว่าการทำงานจากที่ไหนก็ได้ทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น
- 60% ของพนักงานรู้สึกว่าการ WFH ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
- 76% ของพนักกล่าวว่า WFH ทำให้พวกเขาสามารถประหยัดเงินได้ถึง 8,000 เหรียญสหรัฐต่อปี
- 60% ของพนักงานบอกว่าผลิตภาพและคุณภาพงานของพวกเขาดีขึ้นจากการ WFH
แต่ถึงข้อมูลทางตัวเลขจะแสดงให้เห็นข้อดีของการทำงานแบบ WFH หรือ Hybrid ต่อพนักงาน แต่มีพนักงานเพียง 25%เท่านั้นที่รู้สึกว่าองค์กรของพวกเขาพร้อมสำหรับการทำงานแบบ Hybrid และมากไปกว่านั้น การศึกษาข้อมูลมากมายยังแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการของพนักงานและสิ่งที่องค์กรจะสามารถให้กับพนักงานได้ ข้อมูลทางสถิติของ Owllabs แสดงให้เห็นว่า 39% ของนายจ้างต้องการให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบ Full-time หลังเกิดโรคระบาด แต่มีพนักงานเพียง 29% ที่ต้องการให้เป็นแบบนั้น และ พวกเขาพร้อมจะลาออกจากงานหากไม่สามารถทำงานแบบ WFH ได้อีกต่อไปหลังจากการระบาดใหญ่จบลง
ประโยชน์ของการทำงานแบบ Hybrid ที่มีต่อองค์กร
ผู้นำองค์กรและผู้จัดการที่ต้องการให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบ Full-time อาจยังไม่ทราบถึงประโยชน์ที่ของการทำงานแบบ Hybrid มีต่อองค์กร สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการของผู้นำ ผู้จัดการ และพนักงาน แต่ข้อมูลจากงานวิจัยชั้นนำของโลกทั้ง Gallup, มหาวิทยาลัย Harvard, Global Workplace Analytics, และ มหาวิทยาลัย Stanford พิสูจน์ให้เห็นได้ว่าความยืดหยุ่นในสถานที่ทำงานจะช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับองค์กรใน 5 หมวดหมู่นี้
- ประสิทธิผล (Productivity) — พนักงานที่ทำงานแบบ WFH มีประสิทธิผลในการทำงานสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 35% - 40% เมื่อเทียบกับพนักงานที่ทำงานในออฟฟิศ และได้รับผลผลิตเพิ่มอย่างน้อย 4.4%
- ประสิทธิภาพ (Performance) — การมีอิสระในเรื่องของสถานที่ทำงานช่วยให้พนักงานมีข้อบกพร่องทางด้านคุณภาพของงานลดน้อยลงถึง 40%
- การมีส่วนร่วม (Engagement) — ประสิทธิภาพการทำงานและผลผลิตที่สูงขึ้นสร้าง Engagement หรือพูดได้ง่าย ๆ คือ ช่วยลดอัตราการขาดงานลง 41%
- การรักษาพนักงาน (Retention) - 54% ของพนักงานกล่าวว่าพวกเขาจะเปลี่ยนงานหากงานนั้นให้ความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งการเสนอข้อตกลงการทำงานแบบ Hybrid และ WFH จะสามารถส่งผลให้อัตราการลาออกโดยเฉลี่ยลดลงถึง 12%
- ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) — องค์กรสามารถประหยัดเงินได้เฉลี่ย 11,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ต่อพนักงานที่ทำงานแบบ Hybrid 1 คน ซึ่งหมายความว่าองค์กรเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้สูงขึ้นถึง 21%
จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมาแสดงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วการทำงานแบบ Hybrid นั้นไม่ได้เพียงแต่จะตอบสนองความต้องการของพนักงานเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้องค์กรเพิ่มประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการทำงาน Engagement ของพนักงาน ความสามารถในการทำกำไร และยังสามารถรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้นานขึ้นอีกด้วย หากผู้นำองค์กรและผู้จัดการต้องการที่จะรักษาพนักงานไว้กับองค์กรในช่วงเวลานี้ คุณต้องทบทวนวัฒนธรรมองค์กรในที่ทำงานของตนเองใหม่อีกครั้งเพื่อให้ครอบคลุมทั้งงานแบบ WFH และ Hybrid มากขึ้น เพราะสิ่งนี้จะเป็น New Normal ของการทำงานในอนาคตต่อไป
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่จะช่วยคุณสร้าง "New Normal" ในที่ทำงานแบบ Hybrid ได้ที่นี่
สร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบ Hybrid ให้สำเร็จได้อย่างไร
ผู้นำสร้าง Visibility ในที่ทำงานแบบ Hyrbid ได้อย่างไร
วิธีรักษาพนักงานใหม่ในยุค Hybrid
เอกสารอ้างอิง
[3] https://www2.ergotron.com/EEWVWP2022?_ga=2.96405012.908027784.1655718268-1199762344.1655718268